"ทหารกองทัพธรรม อยู่เวรยาม ภารกิจเดิมๆ"
กุฏิเราเราสร้างอย่างมุ่งมั่น
ย่อมผูกพันรักครองป้องเต็มที่
หลวงพ่อเราเรารักและภักดี
ลูกพร้อมพลีชีพถวายยอมตายแทน
หลวงพ่อเคยบอกเอาไว้ ชีวิตในสังสารวัฏ ไม่มีอะไรใหม่
แม้การสร้างบารมีก็ทำแบบเดิมๆ แต่ทำผังให้หนาแน่นขึ้น
เหมือน ณ เวลานี้ที่พระเณรอุบาสกอุบาสิกากำลังทำหน้าที่ปกป้องหลวงพ่อ ด้วยการอยู่เวรยามทำให้นึกย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์ที่อยู่เวรยามตั้งแต่มาวัดปีแรก
ปี 2531 มีกลุ่มผู้ไม่หวังดีร่วมร้อยคน ได้พากันถือคบเพลิง
ส่งเสียงดังจะบุกมาเผากุฏิที่พักยามรัตติกาล
สาเหตุมาจากการที่ตัวเองจะต้องออกจากที่ดินซึ่งเคยเช่าทำนา
แม้จะมีการจ่ายค่ารื้อถอนและเงินช่วยเหลือก็ตาม
โชคดีที่ป้องกันเหตุได้ทันเวลา แต่เจ้าหน้าที่เราถูกทำร้ายแขนหัก บาดเจ็บสาหัส ต้องเข้าโรงพยาบาล
แต่ทางสื่อมวลชนบางแห่งกลับออกข่าวโจมตีว่า
วัดพระธรรมกายบุกรุกที่ดินชาวนา และศิษย์ธรรมกายทำร้ายชาวนาจนบาดเจ็บ
โดยที่เราไม่มีโอกาสชี้แจงความจริงให้สังคมได้รับรู้เรื่องราว
ทำให้คนส่วนใหญ่เข้าใจวัดผิดเรื่อยมา
เมื่อวัดกับชาวนาบางส่วนยังตกลงกันไม่ได้ พวกเราจำต้องอยู่ยามเฝ้าระวังผู้ไม่หวังดีมาเผากุฏิ
แต่เขาก็อุกอาจแอบมาทุบเศียรพระประธานที่ลานธรรมเสียหาย สร้างความปวดร้าวใจแก่หมู่คณะยิ่งนัก
ถึงกระนั้นเราก็แผ่เมตตาให้อภัย ภายหลังทราบมาว่า
คนที่ถูกจ้างมาทุบพระประธาน เลือดออกทางทวารทั้ง 9
โดยหาสาเหตุไม่เจอ และสิ้นชีวิตอย่างน่าเวทนายิ่งนัก...
ด้วยบารมีคุณยายจากการที่ท่านเป็นประธานทอดกฐินสามัคคีครั้งแรกของท่าน ทำให้สามารถจ่ายชำระค่าที่ดิน 2,000 ไร่ จนครบและกลายเป็นบุญสถานอันศักดิ์สิทธิ์ในวันนี้
ปี 2535 ถูกลอบวางเพลิงหมู่กุฏิ : กลางดึกสงัด ประมาณ
เที่ยงคืนเศษในวันหนึ่งของเดือนพฤษภาคม พระเณรกำลังจำวัดหลับสนิท ได้มีผู้ไม่หวังดีแอบมาเผากุฏิซึ่งมุงด้วยใบจาก
ไฟไหม้กุฏิวอดไป 3 หลัง เกือบเป็นทะเลเพลิง โชคดีที่ไม่มีลมพัด ช่วยกันดับได้ทัน
หลังไฟไหม้หมู่กุฏิ พวกเราอยู่เวรยามกันแรมเดือน รายละเอียดไม่ชัดเจน เพราะเป็นสามเณร ไม่ได้สอบถามต้นสายปลายเหตุ รอดตายจากการถูกเผาทั้งเป็นก็โชคดีแล้ว
แม้ผู้เขียนเองก็อารามตกใจ รีบกระโดดออกทางหน้าต่างกุฏิ ตะโกนส่งสัญญาณปลุกกันว่า "ไฟไหม้ๆ " ตอนแรกยังลังเลใจว่าเป็นความฝันหรือความจริงกันแน่ เพราะไม่ได้ตั้งหลักมาก่อน
ปี 2542 อยู่ยามในวัด เจ้าหน้าที่รัฐจะมาจับหลวงพ่อ โดยนำคดีทางโลกมากล่าวหาท่านและสื่อบางแห่งโจมตีใส่ร้ายหลวงพ่ออย่างเสียๆ หายๆ
แม้ตลอดชีวิตของท่านมีแต่ชักชวนญาติโยมเข้าวัดปฏิบัติธรรมและทำความดีสั่งสมบุญ ปฏิบัติตามหลักพระธรรมวินัยและกฏหมายมาโดยตลอด
ครั้นลำดับเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น จึงรู้ว่า
วัดเราเป็นเป้าหมายในการถูกทำลายล้างจากผู้ไม่ปรารถนาดี
แม้พระเกจิ นักเทศน์และนักปฏิบัติชื่อดังหลายรูปที่ถูกอำนาจมืดเล่นงานโดยไร้ปราณี ถูกกล่าวหาและถูกดำเนินคดีจับสึกเข้าคุกเข้าตาราง บางท่านก็ต้องหลบหนีขอลี้ภัยอยู่ต่างประเทศ
ขบวนการทำลายศาสนามีมานาน มีกลุ่มจัดตั้งเพื่อจ้องเล่นงานพระดังๆ ซึ่งเป็นศูนย์รวมศรัทธาของญาติโยม แม้วัดเราก็ถูกแบล๊คลิสต์เช่นกัน โดยมุ่งเล่นงานหลวงพ่อเป็นหลัก แต่พวกเราก็ไม่หวั่นไหว ได้ปฏิบัติตามหลักธรรมวินัยเรื่อยมา
พอเริ่มสร้างมหาธรรมกายเจดีย์ ก็ถูกกล่าวหาว่าเป็นพุทธพาณิชย์ แต่ไม่สามารถทำให้ศรัทธาสาธุชนสั่นคลอนได้ ยังคงมุ่งมั่นระดมทุนสร้างมหาธรรมกายเจดีย์เพื่อเป็นศูนย์กลางของชาวโลกอย่างไม่หวั่นไหว
กระบวนการเริ่มจากการกล่าวหาหลวงพ่อเรื่องที่ดิน มีความพยายามควบคุมตัวท่านแม้ท่านจะอาพาธหนักก็ตาม หลังจากที่ท่านไปหาหมอที่โรงพยาบาล
หลวงพ่ออาพาธหนัก อาเจียนเป็นเลือดสดๆ เยอะมาก หมอบอกว่า หลอดเสียงอักเสบจนไม่สามารถพูดได้ ส่วนสาเหตุที่แท้จริงเกิดจากใครทำนั้น สมาชิกก็ตามอ่านเอาเอง ผู้เขียนมิอาจฟันธง..
แต่การเห็นภาพหลวงพ่อที่ต้องนั่งรถเข็นไปโรงพยาบาลอยู่ท่ามกลางสาธารณชน และถ่อสังขารไปรับทราบข้อกล่าวหาที่วัดชนะสงครามนั้น ช่างเป็นภาพที่บีบคั้นหัวใจลูกๆ ยิ่งนัก
หลายท่านถึงกับหลั่งน้ำตา ที่เห็นท่านอาพาธหนัก นอนเปล พูดไม่ได้ ต้องใช้ดินสอเขียนใส่กระดาษแทนคำพูด ช่วงที่ท่านไอและอาเจียนเป็นเลือดนั้น หมอที่ทางเจ้าหน้าที่รัฐส่งมาตรวจที่กุฏิ กลับบอกว่าไม่เป็นไรมาก ไปรับทราบข้อกล่าวหาได้
การข่มเหงริดรอนสิทธิผู้ป่วยครั้งนั้น ช่างเป็นการย่ำยีหัวใจของผองศิษย์ยิ่งนัก แต่เราก็ขัดขวางเจ้าหน้าที่บ้านเมืองไม่ได้ ได้แต่อธิษฐานขอให้ท่านปลอดภัยกลับมา
เมื่อหลวงพ่อรับทราบข้อกล่าวหาแล้ว ก็ต้องไปขึ้นศาลที่รัชดาร่วม 5 ปี ระหว่างนั้น
ท่านกลับเป็นโรคที่ลูกๆ ก็คาดไม่ถึง คือขาบวมขึ้นๆ เรื่อยๆ
เพราะเลือดดำไหลลง แต่ไม่ไหลย้อนกลับ เป็นเส้นเลือดดำอุดตัน ดังที่เราทราบดีว่าเกิดจากอะไร
ตั้งแต่นั้นมา หลวงพ่อของเราก็นั่งคุกเข่าไม่ได้เลย ขณะเดียวกัน ท่านก็ต้องหอบสังขารไปฟังการให้ปากคำทั้งของพยานฝ่ายโจทก์และจำเลยแทบทุกสัปดาห์ ท่านให้ความร่วมมือกับศาลเป็นอย่างดี ไม่เคยขอลา จนกระทั่งปี 2548 อัยการถอนฟ้อง
นอกจากนี้ หลวงพ่อถูกกล่าวหาอาบัติปาราชิกเพราะ
"พระลิขิต" เป็นเหตุ ถูกกล่าวหาอวดอุตลุด ทางศาลสงฆ์
ได้ทำนิคหกรรมท่าน
ทำให้พระเดชพระคุณหลวงพ่อทัตตชีโวต้องทำหน้าที่รักษาการแทนเจ้าอาวาส
เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ หลวงพ่อยอมรับการตัดสินทั้งศาลโลกและศาลสงฆ์โดยไม่ปริปากบ่น ขณะเดียวกันก็นำพาลูกๆ สร้างบารมีอย่างไม่หยุดหย่อน นับวันสาธุชนยิ่งหลั่งไหลมาทำบุญเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อหลวงพ่อหลุดพ้นจากคดีโลก ทางฝ่ายคดีธรรม หลวงพ่อได้รับความยุติธรรม เจ้าคณะผู้ปกครองคืนความบริสุทธิ์ให้กับท่าน ด้วยการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสดังเดิม
แต่หมู่คณะเราได้เสียเวลา เงินทรัพย์มหาศาลและเสียชื่อเสียงมากมาย หลวงพ่อเองไม่ได้โกรธแค้นหรือฟ้องกลับผู้กล่าวหาท่านเลย มุ่งหน้านำพาลูกๆ สร้างบารมีอย่างเดียว
มาถึงปีนี้ ....
ปี 2559 ปีที่วิชชาธรรมขยายไปทั่วโลก สาขาต่างๆ มีความเข้มแข็ง มีบุคลากรพร้อมทำหน้าที่เป็นแสงสว่างแก่ชาวโลก แต่พวกเราก็ต้องหยุดภารกิจแทบทุกอย่างเพื่อ..มาอยู่เวรยาม.. ภารกิจครั้งนี้ พวกเราจะพร้อมใจกันปกป้องหลวงพ่อยิ่งชีวิต
ครั้งนี้กล่าวได้ว่าพวกเราเจอศึกหนักกว่าทุกคราตามกำลังบารมี เป็นประดุจการรบครั้งสุดท้าย และจะไม่ยอมให้ใครมารังแกหลวงพ่อเด็ดขาด..!! จะไม่ยอมให้ใครใช้อำนาจโดยมิชอบด้วยกฎหมายมารังแกท่านอีก เราทุกรูปทุกคน พร้อมเดิมพันด้วยชีวิต...
คำถาม : ผลลัพธ์จะเป็นเช่นไรยากคาดเดา รู้เพียงว่า หนักกว่าเดิมหลายเท่าตามกำลังบารมี
พวกเรานักรบกล้ากองทัพธรรม มาช่วยกันรับบุญตามที่มอบหมายกันเถิด และช่วยอธิษฐานจิตให้มรสุมร้ายนี้ผ่านพ้นไปได้เหมือนวิกฤติที่ผ่านมา ให้วิกฤติครั้งนี้กลายเป็นโอกาสในการ
"สร้างบารมีชนิดเอาชีวิตเป็นเดิมพันของเรา" ถือเป็นการหล่อหลอมความเป็นนักสร้างบารมี ความสมัครสมานสามัคคี เป็นการแสดงออกถึงพลังรักอันยิ่งใหญ่ที่มีต่อหลวงพ่อ ถือเป็นลูกในไส้กลางของหลวงพ่อจริงๆ ตลอดไป..
เมื่อมรสุมพัดผ่าน ชีวิตการสร้างบารมีดุจฟ้าหลังฝนของหมู่คณะเราจะต้องถูกจารึกไว้ว่า เราคือบุคคลประวัติศาสตร์.. ที่เอาชนะความอยุติธรรมด้วยสันติอหิงสาและคุณความดีล้วนๆ
เราทุกคนต้องได้เปล่ง..
ชิตัง เม ชิตัง เม ชิตัง เม...
จากใจ
ธรรมรักษ์ ปธ.๙